กรุงเทพฯ 11 ตุลาคม 2556 – วันนี้ ไมโครซอฟท์ แจ้งให้ธุรกิจและผู้บริโภคทั่วไปในประเทศไทยที่มีคอมพิวเตอร์ที่ยังใช้ระบบปฏิบัติการ
Windows XP ทราบว่า
ไมโครซอฟท์จะหยุดการสนับสนุนและการให้บริการ ระบบปฏิบัติการ Windows XP อย่างเป็นทางการในอีกหกเดือนข้างหน้า
หรือในวันที่ 8 เมษายน 2557 นั่นเอง
แม้ว่าจะเหลือเวลาอีกแค่ครึ่งปีเท่านั้น แต่คอมพิวเตอร์จำนวน 3 ใน 10 เครื่องที่ใช้อยู่ในประเทศไทยยังคงใช้ระบบปฏิบัติการ
Windows
XP อยู่ ซึ่ง Windows XP เป็นระบบปฏิบัติการที่มีอายุ
11 ปีแล้ว ซึ่งจะไม่สามารถรับมือกับการโจมตีที่ซับซ้อนผ่านระบบไซเบอร์ได้
รวมทั้งยังไม่สามารถสนองตอบต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทั้งในแง่การปกป้องข้อมูลส่วนตัว
และการเพิ่มประสิทธิผลอีกด้วย...
ตัวเลขจาก
StatCounter ประจำเดือนกันยายน 2556
ระบุว่าประเทศไทย คือหนึ่งในประเทศที่มีผู้ใช้ Windows XP สูงสุดในแถบเอเชียแปซิฟิก[i]
โดยมีคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows XP อยู่ราวร้อยละ
28 คิดเป็นจำนวนคอมพิวเตอร์ที่มีมากถึง 5.7
ล้านเครื่อง ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าประชากรทั้งหมดของสิงคโปร์เสียอีก[ii] แต่ข่าวดีคือ
ตั้งแต่เดือนกันยายน 2556
เป็นต้นมา มีผู้บริโภคและธุรกิจในประเทศไทย ได้เริ่มอัพเกรดไปเป็นระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่
โดยร้อยละ 57 ของคอมพิวเตอร์ มีการอัพเกรดเป็น Windows® 7 และ
Windows® 8 แล้ว
ตั้งแต่
วันที่ 8 เมษายน 2557
เป็นต้นไป ไมโครซอฟท์จะหยุด อัพเดทระบบรักษาความปลอดภัย
การซ่อมแซมระบบที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัย หยุดให้บริการด้านเทคนิคทางโทรศัพท์
และจะไม่มีการอัพเดทข้อมูลด้านเทคนิคผ่านระบบออนไลน์สำหรับ Windows XP อีกต่อไป นั่นแปลว่าผู้ใช้จะไม่ได้รับอัพเดทต่างๆ ที่จะสามารถช่วยปกป้องคอมพิวเตอร์จากไวรัสอันตราย
สปายแวร์ และซอฟต์แวร์ประสงค์ร้ายอื่นๆ และผลที่ตามมาก็คือระบบอาจหยุดทำงานหรือปัญหาซอฟต์แวร์ที่ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้
นายรชฏ
อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้จัดการกลุ่มธุรกิจและการตลาดวินโดวส์ และ เซอร์เฟซ บริษัท
ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “แม้ผู้คนไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่ผู้บริโภคและธุรกิจต่างๆ
จำเป็นต้องหันมาใช้ระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่กว่าอย่าง Windows 7 หรือ Windows 8 เพื่ออัพเกรดให้ดีไวซ์ของตนทันสมัยมากขึ้น
รวมทั้งเสริมสร้างความปลอดภัยเพื่อป้องกันการโจมตีผ่านระบบไซเบอร์และปัญหาข้อมูลสูญหายด้วย
โดยปกติแล้ว ธุรกิจขนาดเล็กมักใช้เวลาประมาณสามถึงหกเดือนในการอัพเกรดระบบ
ส่วนธุรกิจขนาดกลางต้องใช้เวลานานกว่าหกเดือน เราจึงมีความกังวลว่าบริษัทต่างๆ ในประเทศไทยอาจตัดสินใจอัพเกรดในเวลากระชั้นชิดใกล้กับวันสิ้นสุดการให้บริการมากจนเกินไป
ไมโครซอฟท์มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือบริษัทต่างๆ
ในไทยให้สามารถอัพเกรดระบบได้อย่างราบรื่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
โรงพิมพ์
“ฟาสต์บุ๊คส์” ตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ Windows 8
การอัพเกรดจาก Windows XP ไปเป็น Windows
7 และ Windows 8 ได้ช่วยส่งผลประโยชน์ในแง่ต่างๆ
แก่บริษัทในประเทศไทย รวมถึง บริษัท จรัลสนิทวงศ์ การพิมพ์ จำกัด หรือที่รู้จักกันในนาม
“ฟาสต์บุ๊คส์” นำโดย นาย เทอดทูล ไชยเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ ได้อธิบายถึงการตัดสินใจอัพเกรดครั้งนี้ว่า
“ฟาสต์บุ๊คส์ ในฐานะโรงพิมพ์ที่รับพิมพ์หนังสือด้วยเครื่องพิมพ์ระบบดิจิตอล
ได้ริเริ่มแนวทางใหม่สำหรับการพิมพ์หนังสือตลอดระยะเวลากว่า 9
ปีตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น
ความต้องการทางธุรกิจของเราก็เพิ่มขึ้นด้วย จึงจำเป็นมากที่ซอฟต์แวร์และโปรแกรมที่เราใช้ต้องได้รับการอัพเกรดเพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
ซึ่งเราพบว่า ระบบปฏิบัติการ Windows XP นั้น
ไม่เอื้อต่อการอัพเกรดโปรแกรมดีไซน์และซอฟต์แวร์อื่นๆ
ที่ใช้และไม่สามารถตอบสนองความต้องการในการใช้งานด้านไอทีได้อย่างเต็มที่อีกต่อไป
นอกจากนี้แม้บริษัทฯ เราจะเป็นเพียงเอสเอ็มอี
แต่เราให้ความสำคัญกับการใช้ซอฟต์แวร์ที่ถูกลิขสิทธ์เพื่อช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้า
จึงเป็นเหตุผลให้บริษัทฯ
ตัดสินใจอัพเกรดมาใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 8 เพราะสามารถใช้งานได้ง่ายแบบอินเทอร์แอ็คทีฟ
มีระบบการจัดการและการรักษาความปลอดภัยที่ดี ผสมผสานกันอย่างลงตัว
ซึ่งเมื่อเทียบกับการเชื่อมต่อการทำงานที่ช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ถือว่าคุ้มค่าเงินที่ลงทุนไปมาก ซึ่งที่ผ่านมาระบบปฏิบัติการ Windows XP ช่วยเสริมรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจของผม แต่หลังจากเปลี่ยนมาใช้ Windows
8 ทำให้เรามั่นใจว่า Windows
8 มีฟีเจอร์และความสามารถต่างๆ ที่จะทำให้บริษัทฯ
เราแข็งแกร่งมากขึ้นครับ”
นอกจากนี้ธุรกิจและผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปใช้ระบบปฏิบัติการใหม่ของไมโครซอฟท์
หรือ Windows
8 จะได้รับประโยชน์เพิ่มเติมด้วย เพราะ Windows 8 มาพร้อมกับ วินโดวส์ ดีเฟนเดอร์ (Windows Defender) หรือโปรแกรมป้องกันไวรัสและรักษาความปลอดภัยบนอินเตอร์เน็ตแบบฟรีตลอดชีพ
ซึ่งสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาที่จะต้องจัดการปัญหาไวรัสอีกด้วย
นักวิเคราะห์เร่งเตือนให้องค์กรธุรกิจอัพเกรดระบบปฏิบัติการโดยทันที
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานักวิเคราะห์ในแวดวงต่างแนะนำให้ธุรกิจต่างๆ
เลิกใช้ Windows
XP มาโดยตลอด และในตอนนี้เมื่อเหลือเวลาแค่หกเดือนเท่านั้นที่ไมโครซอฟท์จะยุติการให้บริการ
Windows XP เหล่านักวิเคราะห์ด้านไอที จึงพยายามให้ความรู้เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนตระหนักถึงปัญหาเร่งด่วนของเรื่องนี้
“เวลาสิ้นสุดใกล้มาถึงแล้ว”
นายฮานโดโกะ แอนดี ผู้จัดการ Client
Devices Research ของ
บริษัท ไอดีซีเอเชีย-แปซิฟิก กล่าว “หากต้องการสร้างความมั่นใจว่าคอมพิวเตอร์ของคุณจะยังคงได้รับการบริการสนับสนุนและทำงานได้อย่างปลอดภัยแล้ว
ผู้บริโภคและธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องอัพเกรดไปใช้ระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ในทันที
เนื่องจากการให้บริการ Windows XP จะยุติในเวลาอีกแค่หกเดือนเท่านั้น”
ไมโครซอฟท์
ออกมากระตุ้นให้ธุรกิจและผู้บริโภคที่ยังใช้คอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows XP อัพเกรดไปเป็น Windows 7 หรือ Windows 8 ในทันที รายงานจากMicrosoft’s
Security Intelligence Report
ฉบับที่ 14 ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนเมษายน 2556 ระบุว่า Windows XP ที่ติดตั้ง Service Pack 3
มีความเสี่ยงมากกว่า Windows 8 RTM ถึง 56.5
เท่า[iii]
โดยลูกค้าสามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ Windows
Upgrade Centre
เพื่อศึกษาหาความรู้จากนักวิเคราะห์รวมถึงเรื่องราวการอัพเกรด Windows XP ของลูกค้า
รวมทั้งข้อเสนอพิเศษล่าสุดจากเหล่าพันธมิตรของไมโครซอฟท์อีกด้วย
[i] เอเชีย แปซิฟิก ประกอบไปด้วย ออสเตรเลีย
อินโดนีเซีย เกาหลี มาเลเซีย
นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ประเทศไทย
เวียดนาม จีน ฮ่องกง อินเดีย ไต้หวัน
[iii] ข้อมูลจาก Microsoft’s Security Intelligence Report, Volume 14
ระบุว่า Windows XP SP3 มีความเปราะบางมากกว่า Windows 8 RTM 32-bit ถึง 14 เท่า
และมีความเปราะบางมากกว่า Windows 8 RTM 64-bit ถึง 56.5 เท่า