วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คอมพิวเตอร์กว่า 5.7 ล้านเครื่องในประเทศไทย ยังตกอยู่ในความเสี่ยง นับถอยหลัง ในอีก 6 เดือน ไมโครซอฟท์จะยุติการให้บริการ Windows® XP





            กรุงเทพฯ  11 ตุลาคม 2556 – วันนี้ ไมโครซอฟท์ แจ้งให้ธุรกิจและผู้บริโภคทั่วไปในประเทศไทยที่มีคอมพิวเตอร์ที่ยังใช้ระบบปฏิบัติการ  Windows XP ทราบว่า ไมโครซอฟท์จะหยุดการสนับสนุนและการให้บริการ ระบบปฏิบัติการ  Windows XP อย่างเป็นทางการในอีกหกเดือนข้างหน้า หรือในวันที่ 8 เมษายน 2557 นั่นเอง แม้ว่าจะเหลือเวลาอีกแค่ครึ่งปีเท่านั้น แต่คอมพิวเตอร์จำนวน  3 ใน 10 เครื่องที่ใช้อยู่ในประเทศไทยยังคงใช้ระบบปฏิบัติการ Windows XP อยู่ ซึ่ง Windows XP เป็นระบบปฏิบัติการที่มีอายุ 11 ปีแล้ว ซึ่งจะไม่สามารถรับมือกับการโจมตีที่ซับซ้อนผ่านระบบไซเบอร์ได้ รวมทั้งยังไม่สามารถสนองตอบต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทั้งในแง่การปกป้องข้อมูลส่วนตัว และการเพิ่มประสิทธิผลอีกด้วย...

            ตัวเลขจาก StatCounter ประจำเดือนกันยายน 2556 ระบุว่าประเทศไทย คือหนึ่งในประเทศที่มีผู้ใช้ Windows XP สูงสุดในแถบเอเชียแปซิฟิก[i] โดยมีคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows XP อยู่ราวร้อยละ 28 คิดเป็นจำนวนคอมพิวเตอร์ที่มีมากถึง 5.7 ล้านเครื่อง ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าประชากรทั้งหมดของสิงคโปร์เสียอีก[ii] แต่ข่าวดีคือ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2556 เป็นต้นมา มีผู้บริโภคและธุรกิจในประเทศไทย ได้เริ่มอัพเกรดไปเป็นระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ โดยร้อยละ 57 ของคอมพิวเตอร์ มีการอัพเกรดเป็น Windows® 7 และ Windows® 8 แล้ว

            ตั้งแต่ วันที่ 8 เมษายน 2557 เป็นต้นไป ไมโครซอฟท์จะหยุด อัพเดทระบบรักษาความปลอดภัย การซ่อมแซมระบบที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัย หยุดให้บริการด้านเทคนิคทางโทรศัพท์ และจะไม่มีการอัพเดทข้อมูลด้านเทคนิคผ่านระบบออนไลน์สำหรับ Windows XP อีกต่อไป นั่นแปลว่าผู้ใช้จะไม่ได้รับอัพเดทต่างๆ ที่จะสามารถช่วยปกป้องคอมพิวเตอร์จากไวรัสอันตราย สปายแวร์ และซอฟต์แวร์ประสงค์ร้ายอื่นๆ และผลที่ตามมาก็คือระบบอาจหยุดทำงานหรือปัญหาซอฟต์แวร์ที่ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้

            นายรชฏ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้จัดการกลุ่มธุรกิจและการตลาดวินโดวส์ และ เซอร์เฟซ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “แม้ผู้คนไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่ผู้บริโภคและธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องหันมาใช้ระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่กว่าอย่าง Windows 7 หรือ Windows 8 เพื่ออัพเกรดให้ดีไวซ์ของตนทันสมัยมากขึ้น รวมทั้งเสริมสร้างความปลอดภัยเพื่อป้องกันการโจมตีผ่านระบบไซเบอร์และปัญหาข้อมูลสูญหายด้วย โดยปกติแล้ว ธุรกิจขนาดเล็กมักใช้เวลาประมาณสามถึงหกเดือนในการอัพเกรดระบบ ส่วนธุรกิจขนาดกลางต้องใช้เวลานานกว่าหกเดือน เราจึงมีความกังวลว่าบริษัทต่างๆ ในประเทศไทยอาจตัดสินใจอัพเกรดในเวลากระชั้นชิดใกล้กับวันสิ้นสุดการให้บริการมากจนเกินไป  ไมโครซอฟท์มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือบริษัทต่างๆ ในไทยให้สามารถอัพเกรดระบบได้อย่างราบรื่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

โรงพิมพ์ ฟาสต์บุ๊คส์ ตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ Windows 8 

              การอัพเกรดจาก Windows XP ไปเป็น Windows 7 และ Windows 8 ได้ช่วยส่งผลประโยชน์ในแง่ต่างๆ แก่บริษัทในประเทศไทย รวมถึง บริษัท จรัลสนิทวงศ์ การพิมพ์ จำกัด หรือที่รู้จักกันในนาม ฟาสต์บุ๊คส์นำโดย นาย เทอดทูล  ไชยเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ ได้อธิบายถึงการตัดสินใจอัพเกรดครั้งนี้ว่า  

            “ฟาสต์บุ๊คส์ ในฐานะโรงพิมพ์ที่รับพิมพ์หนังสือด้วยเครื่องพิมพ์ระบบดิจิตอล ได้ริเริ่มแนวทางใหม่สำหรับการพิมพ์หนังสือตลอดระยะเวลากว่า 9 ปีตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ความต้องการทางธุรกิจของเราก็เพิ่มขึ้นด้วย จึงจำเป็นมากที่ซอฟต์แวร์และโปรแกรมที่เราใช้ต้องได้รับการอัพเกรดเพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งเราพบว่า ระบบปฏิบัติการ Windows XP นั้น ไม่เอื้อต่อการอัพเกรดโปรแกรมดีไซน์และซอฟต์แวร์อื่นๆ ที่ใช้และไม่สามารถตอบสนองความต้องการในการใช้งานด้านไอทีได้อย่างเต็มที่อีกต่อไป นอกจากนี้แม้บริษัทฯ เราจะเป็นเพียงเอสเอ็มอี แต่เราให้ความสำคัญกับการใช้ซอฟต์แวร์ที่ถูกลิขสิทธ์เพื่อช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้า  จึงเป็นเหตุผลให้บริษัทฯ ตัดสินใจอัพเกรดมาใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 8 เพราะสามารถใช้งานได้ง่ายแบบอินเทอร์แอ็คทีฟ มีระบบการจัดการและการรักษาความปลอดภัยที่ดี ผสมผสานกันอย่างลงตัว ซึ่งเมื่อเทียบกับการเชื่อมต่อการทำงานที่ช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถือว่าคุ้มค่าเงินที่ลงทุนไปมาก ซึ่งที่ผ่านมาระบบปฏิบัติการ Windows XP ช่วยเสริมรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจของผม แต่หลังจากเปลี่ยนมาใช้ Windows 8 ทำให้เรามั่นใจว่า  Windows 8 มีฟีเจอร์และความสามารถต่างๆ ที่จะทำให้บริษัทฯ เราแข็งแกร่งมากขึ้นครับ

            นอกจากนี้ธุรกิจและผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปใช้ระบบปฏิบัติการใหม่ของไมโครซอฟท์ หรือ Windows 8 จะได้รับประโยชน์เพิ่มเติมด้วย เพราะ Windows 8 มาพร้อมกับ วินโดวส์ ดีเฟนเดอร์ (Windows Defender) หรือโปรแกรมป้องกันไวรัสและรักษาความปลอดภัยบนอินเตอร์เน็ตแบบฟรีตลอดชีพ ซึ่งสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาที่จะต้องจัดการปัญหาไวรัสอีกด้วย

นักวิเคราะห์เร่งเตือนให้องค์กรธุรกิจอัพเกรดระบบปฏิบัติการโดยทันที
            ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานักวิเคราะห์ในแวดวงต่างแนะนำให้ธุรกิจต่างๆ เลิกใช้ Windows XP มาโดยตลอด และในตอนนี้เมื่อเหลือเวลาแค่หกเดือนเท่านั้นที่ไมโครซอฟท์จะยุติการให้บริการ Windows XP เหล่านักวิเคราะห์ด้านไอที จึงพยายามให้ความรู้เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนตระหนักถึงปัญหาเร่งด่วนของเรื่องนี้

            “เวลาสิ้นสุดใกล้มาถึงแล้ว” นายฮานโดโกะ แอนดี ผู้จัดการ Client Devices Research ของ บริษัท      ไอดีซีเอเชีย-แปซิฟิก กล่าว “หากต้องการสร้างความมั่นใจว่าคอมพิวเตอร์ของคุณจะยังคงได้รับการบริการสนับสนุนและทำงานได้อย่างปลอดภัยแล้ว ผู้บริโภคและธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องอัพเกรดไปใช้ระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ในทันที เนื่องจากการให้บริการ Windows XP จะยุติในเวลาอีกแค่หกเดือนเท่านั้น”

            ไมโครซอฟท์ ออกมากระตุ้นให้ธุรกิจและผู้บริโภคที่ยังใช้คอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows XP อัพเกรดไปเป็น Windows 7 หรือ Windows 8 ในทันที รายงานจากMicrosoft’s Security Intelligence Report  ฉบับที่ 14  ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนเมษายน 2556 ระบุว่า Windows XP ที่ติดตั้ง Service Pack 3 มีความเสี่ยงมากกว่า Windows 8 RTM ถึง 56.5 เท่า[iii]

           โดยลูกค้าสามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ Windows Upgrade Centre เพื่อศึกษาหาความรู้จากนักวิเคราะห์รวมถึงเรื่องราวการอัพเกรด Windows XP ของลูกค้า รวมทั้งข้อเสนอพิเศษล่าสุดจากเหล่าพันธมิตรของไมโครซอฟท์อีกด้วย



[i] เอเชีย แปซิฟิก ประกอบไปด้วย ออสเตรเลีย  อินโดนีเซีย  เกาหลี มาเลเซีย นิวซีแลนด์  ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ประเทศไทย เวียดนาม จีน ฮ่องกง อินเดีย ไต้หวัน
[ii] ข้อมูลจาก: World Bank, 2008 – 2012
[iii] ข้อมูลจาก Microsoft’s Security Intelligence Report, Volume 14 ระบุว่า Windows XP SP3 มีความเปราะบางมากกว่า Windows 8 RTM 32-bit ถึง 14 เท่า และมีความเปราะบางมากกว่า Windows 8 RTM 64-bit ถึง 56.5 เท่า


สงวนสิทธิ์เนื้อหาเป็นทรัพย์สินของ อ.อ้น alizt แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น. ขับเคลื่อนโดย Blogger.